ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

กำลังแสดงโพสต์ที่มีป้ายกำกับ คนบ้า

รู้ชัดตามความเป็นจริง

รู้ชัดตามความเป็นจริง ธรรม หรือ ธรรมะ หรือ ธรรมชาติ หรือ ธรรมดา หรือ เป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่น มันมีความหมายอย่างเดียวกัน เหมือนกัน มีสภาพเหมือนกัน มีสภาวะอย่างเดียวกัน การตื่นรู้ ตามความเป็นจริง จึงไม่ต้องคิด แค่เห็นให้ชัดๆ รู้สึกให้ชัด ได้ยินให้ชัด มิต้องมั่นหมาย คาดเดา คาดหวังว่าสิ่งที่ถูกรู้นั้น จะต้องเป็นอะไร หรือเป็นสิ่งใดๆ เพียงเท่านี้ สื่งที่ถูกรู้ ก็จะถูกเก็บลงในสัญญา หรือ ความจำมั่นหมายแล้ว และ มันก็พร้อมที่จะถูกนำมาใช้งานในการพิจารณา ไตร่ตรอง ภายในวงรอบของ ขันข์ห้า ในรอบถัดๆไป เมื่อวิตก เกิดขึ้น

สวรรค์อยู่ที่อก นรกอยู่ที่ใจ นิพพานอยู่ที่หน้าผาก

สวรรค์อยู่ที่อก นรกอยู่ที่ใจ นิพพานอยู่ที่หน้าผาก พอ อก พอใจ มันก็เป็นสวรรค์  ความสุขจากกามคุณทั้ง 5 ที่วิญญานรับรู้ได้ (กูรู้ กูได้ กูเป็น กูรู้สึก)   ได้เห็นภาพที่พอใจ ได้ยินเสียงที่พอใจ ได้กลิ่นเป็นที่พอใจ ได้ลิ่มรสเป็นที่พอใจ ได้สัมผัสเป็นที่พอใจ ใจมันเกลียดไม่ต้องการ  ความทุกข์จากโทษของกามคุณทั้ง 5 ที่วิญญานรับรู้ได้ ก็ 5 อย่างข้างต้นนั้นแหละ แต่ไม่เป็นที่น่าพอใจ ได้เห็นภาพที่ไม่น่าพอใจ ได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจ ได้รับกลิ่นที่ไม่น่าพอใจ ได้ลิ่มรสอันไม่เป็นที่น่าพอใจ ได้สัมผัสถูกสิ่งที่ไม่น่าพอใจ  รู้ได้ด้วยปัญญา คนทั่วไป รักสุข เกลียดทุกข์ หวังที่จะมีแต่สุข และละทิ้งความทุกข์นั้นเสีย แต่หารู้ไม่ว่า ทุกข์กับสุข นั้นติดกันเป็นเนื้อเดียว หยิบสุขขึ้นมาเมื่อไร ทุกข์ก็ติดขึ้นมาด้วยเมื่อนั้น เมื่อใดเข้าใจ รู้ได้ด้วยปัญญาอันยิ่งแล้ว วางสุข วางทุกข์ลงได้ มันก็เย็นใจสบายตัว สงบเข้าที่เข้าทาง นิพพาน ก็เกิดขึ้น

ความเชื่อ

ความเชื่อ อันนี้น่าสนใจ ทำไมต้องเชื่อ ทำไมจึงยอมเชื่อ ช่างน่าสงสัยนัก เชื่อเพื่ออะไร เชื่อแล้วได้อะไร ด้วยมนุษย์เกิดขึ้นมาลืมตาดูโลก ก็คงจะ "งง" การระวังภัยย่อมมีอยู่  มีผู้ปกครองเราดูแล ตัวเราอยู่ และก็บอกว่า อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ (ทำไมต้องเชื่อ) เหตุผลหนี่งที่ว่าน่าจะใช่ คือความปลอดภัย คือเชื่อแล้วดี เชื่อแล้วปลอดภัย เชื่อแล้วอะไรๆ ก็ดี ว่าซะงั้น! กลัวอัตรายต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสิ่งที่เราไม่รู้ และรู้สึกว่ามัน น่ากลัว ความมืด แม่น้ำ ภูเขาไฟ ฟ้าผ่า ทะเล หรืออะไรๆ หลายๆอย่าง สรุปได้ความว่า - เชื่อเพราะว่ากลัว  กลัวเจ็บ กลัวตาย กลัวว่าจะรับมือสิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่ได้ หรืออะไรก็ตามแต่ ที่คุณเชื่อ ภูเขาไฟจะระเบิด หัวหน้าเผ่าบอก ไปทำพิธี ไหว้ ถวายเครื่องเซ่นท่านภูเขาไฟ แล้วท่านจะหายโกรธ อย่างน้อย ลูกเผ่า ก็สบายใจ ส่วนจะระเบิด หรือ ปะทุ ก็อีกเรื่อง ??? ตายแล้วไปไหน เราไม่รู้ ไม่มีใครรู้ พิสูจน์ไม่ได้ แต่กลัวโลกหลังความตาย เพราะเราไม่อยากตาย จึงต้องเชื่ออะไรบางอย่าง จะได้สบายใจ และอยู่ได้โดยไม่กังวล ลัทธิจึงเกิดขึ้น ศาสนาจึงเกิดขึ้น ใช่แล้วเพราะสิ

พลังจิต

คนบ้าวันนี้ขอมาเล่า (โม้) กันให้ฟังเล่นครับ ในความคิดของผมคนเรานั้นการกระทำทุกอย่างที่แสดงออกมาทางคำพูด กิริยาท่าทางถูกเริ่มต้นมาจากความคิด คือคิดก่อนแล้วก็ไหลตามออกมา มันจะมีแบบ Auto กับไม่ Auto ถ้าเป็นแบบ อัตโนมัติก็คือเป็นความคิดที่ตกผลึกแล้วจากครั้งก่อนๆ แล้วก็ไหลเข้าสู่ขบวนการเลย ส่วนอันที่ไม่อัตโนมัติ ก็จะเป็นแบบเอาของเก่าที่ตกผลึกแล้วมา update ทำการประมวลผลกันใหม่อีกทีแล้ว หลังจากได้ข้อสรุปแล้ว ก็จะไหลเข้าสู่กระบวนการแสดงออก การกระทำ คำพูด ท่าทาง การดำเนินชีวิต การที่สรุปได้แล้ว ออกมานั้นถ้าสังเกตดูจะเห็นว่าการสรุปได้นั้นต้องผ่านตัวกลางตัวหนึ่งก่อน นั้นก็คือความเชื่อ (ซึ่งความเชื่อเป็นได้ทั้งเรื่องจริงและไม่จริง เพราะเราจะพบได้บ่อยไปว่ามีความเชื่อที่ผิดจากความเป็นจริง) จากความเชื่อจึงนำมาซึ่งวิถีการดำเนินชีวิต วิถีแห่งการดำเนินชีวิต ก็จะนำมาซึ่งความสำเร็จที่ต้นนั้นหวัง, คาดหวัง, ใฝ่ฝัน, อยากได้, อยากเป็น, ดังนั้นพลังจิต(ในนามธรรมที่ทั่วไปเข้าใจกัน) อันดับแรกเลยคือต้องเชื่อก่อน ไม่ว่าเรื่องอะไร จะจริง หรือไม่จริงก็ตาม และ เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมมันจะมาให้คุณเห็น ให้สั

สติ ปักลง บน ฐานทั้ง สี่

บทความของผมอันนี้ที่ตั้งชื่อป้ายเอาไว้ว่า "คนบ้า" เหตุผลหนึ่งในหลายๆเรื่อง คือเืรื่อง อยากจะให้มีใครซักคนมาอธิบายเรื่องธรรม ให้เข้าใจง่าย แต่ก็กลัวว่า ตัวเองไม่ได้รู้จริง แต่ดันทะลึ่งมาบอกชาวบ้าน ก็เลยคิดว่าถ้าอย่างนั้น ผมมันบ้าก็แล้วกัน เพราะถ้าผิด ก็แค่คนบ้ามาเล่าเรื่อง ถ้าถูก ก็จะได้สะกิดใจ ตัวผมเองดันไปบนไว้เรื่องหนึ่งว่าจะบวช แต่ก็ไม่ได้บวช เลยต้องแก้บนด้วยการ "บวชใจ" อยู่พักใหญ่ก็ได้ทำการศึกษาเรื่องธรรมต่าง ทำให้เห็นว่า การอธิบายหลายๆเรื่องมันช่างน่า งง ยิ่งนัก มันน่าจะมีใครมาอธิบายในแบบ บ้านๆ ยุค 2009 แล้วเข้าใจก็คงดี ว่าแล้วเมื่อมีโอกาศ ก็เลยขอลอง มั่ว ซะหน่อยเป็นไรไป ปัดโธ่ ! ก็คนบ้าจะเอาอะไรละ ? แนวทางปฏิบัติธรรมตามหลักสติปัฏฐาน ๔ คือ ๑. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ฝึกหัดสติ พิจารณากายเพื่อให้รู้ตามความเป็นจริง ๒. เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ฝึกหัดสติ กำหนดพิจารณา เวทนา คือความสุขและความทุกข์ ไม่สุข และไม่ทุกข์ อุเบกขา เพื่อให้รู้ตามความเป็นจริง ๓. จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ฝึกหัดสติ กำหนดพิจารณาจิต เพื่อให้รู้ตามความเป็นจริง ๔. ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน

คู่ของคู่ On The Contrary

บางที่ในเรื่องของธรรม นั้นหลายคนอาจจะรู้สึกว่ามันยุ่งยาก เข้าใจยากพอเห็นคำว่า"ธรรม" ก็กลัวแล้ว และก็จะเป็นเหตุให้กลัวที่จะทำความเข้าใจ ธรรม หรือ พระธรรม สำหรับผมแล้วผมเข้าใจอย่างนี้ ว่า คำๆนี้แปล ได้ว่า "ธรรมชาติ" ในเมื่อเป็นธรรมชาติ ก็ไม่เห็นว่ามันจะน่า งง ตรงไหน ก็ที่ คุณผม เห็น สัมผัสอยุ่นี่แหละ เรียกว่าธรรมชาติไม่ต้องคิด ไม่ต้องจินตนาการ นึกฝันอะไรทั้งนั้นละครับ แค่ "ดู" หรือ "เฝ้าดู" เท่านั้นก็พอ ก็เล่นไปคิดกัน ซะพิศดาร อย่างบางครั้งคุณเคยได้ยินไหม "แสวงหาสัจจะธรรม"อันนี้ผมจะเข้าใจอย่างนี้นะ ตรงคำว่า "สัจจะ" เป็นตัวเสริม คือ สัจจะ เป็นว่าจริง ส่วนธรรม ก็เป็นธรรมชาติพอรวมกันก็เป็น "ความจริงของธรรมชาติ" ผมเข้าใจของผมอย่างนี้ ก็เลย งง อยู่ว่าแล้วไอ้ที่เราเห็นอยู่รอบๆตัวเรา แขนขา หัว ลำตัว ของเรา ของเขา ต้นไม้ หมา นก เป็ดไก่ พวกนี้ไม่ใช้ธรรมชาติ หรือไง หรือเป็นธรรมชาติไม่จริง ถึงต้องไปเที่ยวหา ที่ตัวไม่มีหรือไง (ทำให้นึกถึงคำว่าแสวงบุญ = ตกลงแล้วบุญนี่ต้องออกไปหาด้วย เหรอ ไม่ใช่สร้างได้หรือ ????) เพราะ

เรียงลำดับก่อนหลัง

 คงมีบางซินะที่ บางครั้งต้องเลือกว่าจะทำอะไร แล้วต้องไปขัดกับอีกอย่าง ผมว่าทุกคนต้องเจอกับปัญหาแบบนี้บาง เช่น นั้นก็ยังไม่เสร็จ นี้ก็ยังไม่ได้ทำ แถมยังเหนื่อยมาจากเรื่องนั้น ผมแบ่งประเภทต่างๆที่เกี่ยวข้องกันเป็น 4 เรื่อง สุขภาพ ครอบครัว การงาน เพื่อนฝูง เรื่องใดเกี่ยวกับร่างกายเราหรือ มีผลกระทบการจิตใจ นั้นสำคัญที่สุดครับ ไม่ต้องคิดอะไรมากบอกปัด สิ่งอื่นที่ไม่ใช่ออกไปได้เลย สุขภาพยังแบ่งเป็น กาย และ ใจ ครอบครัวมาเป็นที่สอง ตัวเราต้องโอเคก่อน และแบ่งออกอีกคือ 1.พ่อแม่พี่น้อง และ 2.ลูก คนรัก การงานนั้นเราต้องทำงานเพราะจะได้มีชีวิตอยู่ได้ เลี้ยงครอบครัวเรา การให้ความสำคัญนั้นเราแบ่งออก 1.งานประจำ 2. งานพิเศษ เพื่อนฝูงอยู่สุดท้ายถ้าจำเป็นต้องเลือก เพราะแก้ไขไม่ได้ระหว่าง4 ข้อต้นเขาเป็นข้อสุดท้าย ให้เลือกและก็ยังถูกแบ่งออกเป็นอีกสอง คือ 1.เพื่อนสนิท กับ 2.เพื่อนรู้จัก  เมื่อคุณเจอปัญหาหนึ่ง ปัญหานั้นขึ้นอยู่กับคุณเป็นผู้แยกแยะว่า ปัญหานั้นจะเอาไปลงที่ ข้อไหน เช่น เรื่องที่เกี่ยวกับเพื่อน กับงานพิเศษ เรียงตามปกติ อาจบอกว่า ทำงานพิเศษก่อนแล้วค่อยไปเที่ยวกับเพื่อน แต่คุณ